กฏหมายของไทยกับขอทาน
มาตรา ๕ ในพระราชบัญญัติ
“ขอทาน” หมายความว่า ขอทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นการขอด้วยวาจา ข้อความ หรือการแสดงกิริยาอาการใดๆ หรือด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งนี้ โดยมิได้มีการตอบแทนด้วยการทำงานอย่างใดหรือด้วยทรัพย์สินใด และมิใช่เป็นการขอกันฐานญาติมิตร แต่ไม่รวมถึงการเรี่ยไรตามกฎหมายว่าด้วย การเรี่ยไร
การแสดงความสามารถในเรื่องใดๆ หรือการเล่นดนตรี หรือการเล่นอื่นใดแม้มิได้มีข้อตกลงโดยตรงหรือโดยปริยายที่จะเรียกเก็บค่าชมหรือค่าฟัง แต่ขอรับทรัพย์สินตามแต่ผู้ชมหรือผู้ฟังจะสมัครใจให้นั้น ไม่ถือเป็นการขอทานตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ แต่ให้ถือเป็นวณิพกหรือนักแสดงสาธารณะ
“การสงเคราะห์” หมายความว่า การช่วยเหลือ การบำบัดรักษา การฟื้นฟูทางร่างกาย และจิตใจ ตลอดจนการฝึกอาชีพของผู้รับการสงเคราะห์
“สถานสงเคราะห์” หมายความว่า สถานที่ที่จัดไว้สำหรับให้การสงเคราะห์
“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หมายความว่า องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาลเมืองพัทยา กรุงเทพมหานคร หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งที่มิใช่องค์การบริหารส่วนจังหวัด
“เจ้าพนักงานส่วนท้องถิ่น” หมายความว่า
(๑) นายกองค์การบริหารส่วนตำบล สำหรับในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล
(๒) นายกเทศมนตรี สำหรับในเขตเทศบาล
(๓) นายกเมืองพัทยา สำหรับในเขตเมืองพัทยา
(๔) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร
(๕) ผู้บริหารท้องถิ่นหรือหัวหน้าของคณะผู้บริหารท้องถิ่น สำหรับในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งที่มิใช่องค์การบริหารส่วนจังหวัด
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งให้มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
มาตรา ๖ ให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการมีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบในการสงเคราะห์และควบคุมคนขอทานตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งเสนอนโยบาย แผนงานและมาตรการในการควบคุม สงเคราะห์ และคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้ซึ่งขอทาน และแนวทางการจัดการกับผู้หาประโยชน์จากผู้ซึ่งขอทานโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๗ ห้ามมิให้บุคคลทำการขอทาน
เมื่อปรากฏจากการสอบสวนว่า ผู้ใดทำการขอทานและผู้นั้นเป็นคนชราภาพ หรือคนวิกลจริต พิการ หรือเป็นคนมีโรค ซึ่งไม่สามารถประกอบอาชีพอย่างใด และไม่มีทางเลี้ยงชีพอย่างอื่น ทั้งไม่มีญาติมิตรอุปการะเลี้ยงดู ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งตัวไปยังสถานสงเคราะห์ เพื่อให้การพิจารณาช่วยเหลือตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด
มาตรา๘ วณิพกหรือนักแสดงสาธารณะประสงค์จะเล่นหรือแสดงในเขตองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นใด ให้แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น
เพื่อประโยชน์ในการกำกับ ดูแล คุ้มครอง ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตวณิพก หรือนักแสดงสาธารณะ เจ้าพนักงานท้องถิ่นอาจกำหนดเงื่อนไข หรือวางระเบียบเกี่ยวกับการแสดง หรือการละเล่นของวณิพกหรือนักแสดงสาธารณะได้
มาตรา๙ ผู้ที่ถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์ ให้อยู่ในอำนาจการควบคุมของอธิบดี ซึ่งอธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะสั่งให้ผู้ที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ทำการงานในสถานสงเคราะห์ หรือจะส่งไปทำการงานที่อื่นก็ได้ตามที่เห็นสมควร
มาตรา๑๐ เมื่อกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการเห็นสมควรจัดให้มีสถานสงเคราะห์ขึ้นในจังหวัดใด ให้พิจารณาร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนั้น จัดให้มีสถานสงเคราะห์ขึ้น เพื่อให้มีการสงเคราะห์แก่ผู้ซึ่งขอทานที่ได้รับการส่งตัวมายังสถานสงเคราะห์นั้น โดยให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารงานสถานสงเคราะห์
การสงเคราะห์ การจัดการทรัพย์สิน วินัย การลงโทษวินัยของผู้รับการสงเคราะห์ในสถานสงเคราะห์ตามวรรคแรก ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการกำหนด
มาตรา๑๑ ผู้ใดใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริม หรือกระทำด้วยวิธีการอื่นใดให้ผู้อื่นขอทาน หรือนำบุคคลอื่นมาเป็นประโยชน์ในการขอทานของตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(
๑) กระทำต่อบุคคลอายุต่ำกว่าสิบแปดปี
(๒) กระทำต่อผู้สูงอายุ ผู้เจ็บป่วย ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือหญิงมีครรภ์
(๓) ร่วมกันกระทำหรือกระทำกับบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป
(๔) กระทำโดยนำผู้อื่นจากภายนอกราชอาณาจักรให้มาขอทานในราชอาณาจักร
(๕) กระทำโดยผู้ปกครองดูแลของผู้ซึ่งขอทาน
(๖) กระทำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
(๗)กระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลหรือให้คำปรึกษาบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
(๘) กระทำโดยใช้กำลังบังคับต่อผู้ซึ่งขอทานหรือกระทำต่อบุคคลในครอบครัวของ ผู้ซึ่งขอทาน
ความในวรรคหนึ่งและวรรคสอง (๑) (๒) (๓) และ (๕) ไม่ใช้บังคับกับการกระทำระหว่างบุพการีและผู้สืบสันดานโดยมิได้มีลักษณะเป็นการบังคับหรือขู่เข็ญ
มาตรา๑๒ ผู้ใดทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นได้รับอันตรายสาหัส เพื่อนำผู้อื่นนั้นไปใช้ประโยชน์ในการขอทาน ต้องระวางโทษประหารชีวิต
มาตรา ๑๓ ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ซึ่งอยู่ในระหว่าง ถูกส่งตัวเข้าสถานสงเคราะห์ หรือผู้รับการสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้ หลบหนีออกจากสถานสงเคราะห์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีหรือใช้อาวุธ ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้กึ่งหนึ่ง
มาตรา๑๔ ให้สถานสงเคราะห์ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการตามพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พุทธศักราช ๒๔๘๔ เป็นสถานสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัตินี้ และให้อยู่ในการบริหารจัดการของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการต่อไป
มาตรา๑๕ ผู้รับการสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พุทธศักราช ๒๔๘๔ ซึ่งได้รับการสงเคราะห์อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ได้รับการสงเคราะห์ต่อไปตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา๑๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎหมายที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาขอทานในสังคมเท่านั้น ซึ่งในพระราชบัญญัติควบคุมคนขอทาน ฉบับใหม่ที่กำลังรอการบังคับใช้อยู่ มีมาตรการตีตรามนุษย์โดยการให้จดทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นนั้น ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรเลย เพราะเป็นการทำเรื่องที่ผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายเท่านั้น ในเรื่องของการแก้ปัญหาขอทานที่แท้จริงจะต้องคำนึงถึงรากของปัญหาให้มากกว่านี้